วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

3ท่าบริหารสมองเพิ่มความจำ

ทำยังไง?ถึงจะรักการอ่าน

 ทำยังไงถึงจะรักการอ่าน
 ทำยังไงถึงจะอ่านแล้วไม่หลับ
 ทำยังไงถึงจะอ่านได้นานๆ     

        
   
ทำยังไงถึงจะรักการอ่าน
 
ผมเข้าใจว่าน้องคงหมายรวม ถึงการ อ่านหนังสือเรียน ด้วย (จากการเข้าไปสังเกตในบล็อก)
ตอนผมยังเรียนหนังสืออยู่ ก็เป็นคนหนึ่งที่ขี้เกียจอ่านหนังสือเรียน (จะขยันเป็นพิเศษช่วงก่อนสอบ) ผมจึงรู้สึกชื่นชม ในมนุษย์คนใดก็แล้วแต่ ที่ขยันอ่านหนังสือเรียนจนสอบได้ที่ 1 ได้เกียรตินิยม หรือ จนกระทั่งส่งตัวเองไปเป็นเจ้าคนนายคนตามโอกาส
การอ่าน นั้น ไม่มีใครบังคับเราได้ครับ เพราะ ต้องอยู่กับตัวเอง ในกรณี การอ่านหนังสือเรียน ก็คงต้องใช้วิธีบังคับจิตใจตัวเอง ในแง่มองถึงโอกาสในวันข้างหน้า อนาคต เพื่อสร้างแรงจูงใจ ในการอ่าน
เพราะยังไง คนเราก็ต้องเรียนหนังสือ ไม่ว่าจะเพราะภาคบังคับจากสังคม หรือ ครอบครัว
ถ้า ธรรมะ คือ หน้าที่  การเรียน ก็คือ ธรรม อย่างหนึ่ง แม้เรียนจบแล้ว..ชีวิตก็ต้อง เรียนรู้ ในภาคสนามนอกห้อง ตราบจนสิ้นลมหายใจ
 
มีเพลง ของ ศุ บุญเลี้ยง เพลงหนึ่ง   ผมจำประโยคท่อนหนึ่ง อย่างขึ้นใจ เขาร้องว่า           
 
เป็นลิง ต้องขึ้นต้นไม้
เป็นควาย ต้องไปทำนา
เป็นคน ต้องมีวิชา พอถึงเวลา ต้องไปโรงเรียน       
 
เห็นไหมครับ มันเป็น หน้าที่ เราจึงต้อง อ่านหนังสือเรียน เพื่อสอบ เพื่อพ่อแม่ และ เพื่อตัวเอง ฉะนั้น เมื่อ เรารักพ่อแม่ รักตัวเอง รักการอ่าน มันก็ไม่ยาก เพราะเรามีเป้าหมายแล้ว
ส่วนการ อ่านหนังสือ เพลินๆ ในแง่ อดิเรก นั้น ผมว่า ง่ายกว่าเยอะเลย ขอแค่รู้สึก สนุก และ หาความชอบในตัวหนังสือ โลกใหม่ ก็พร้อมจะสนทนา กับเราทุกเมื่อ
 
                       
 
ทำยังไงถึงจะอ่านแล้วไม่หลับ
 
เป็นปัญหาที่น่าอมยิ้มตามนะครับ เพราะมีเพื่อนของผมคนหนึ่ง เธอเป็นคนนอนหลับยาก ถ้ามีใครอ่านหนังสือให้ฟัง เธอจะหลับไหลสบายใจไปโดยปริยาย
ถ้ามันจะหลับก็คงต้องหลับล่ะครับ เพราะร่างกายของเรา ถ้ามันต้านกับสมาธิ ความจดจ่อต่อตัวหนังสือ ก็จะหายไป
ผมมักจะบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือก่อนนอน สัก 30 นาที ทุกคืน แต่วันใดผมถือหนังสือแล้ว รู้สึกมือหนัก ตาปรือ ผมก็ไม่ฝืนครับ หลับดีกว่า
แต่ ถ้ามาคิดหาว่า ทำยังไงให้ไม่หลับ ผมแนะว่า เราควรตั้งเป้าให้ตัวเองว่า ครั้งหนึ่งควรจะอ่านได้กี่หน้า เช่น 30 หน้า พออ่านได้สัก 15 หน้า ก็ควรไปดื่มน้ำ มองฟ้า ถนน ต้นไม้ เพื่อนข้างบ้าน(อย่างหลังนี้ อย่ามองนานนะครับ)
 เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เรียก สมาธิกลับคืน แล้วค่อยมาอ่านต่อ ทำแบบนี้เรื่อยๆ เราจะมี วินัย ของตัวเอง
นาฬิกาในร่างกาย มันจะปรับตามอัตโนมัติไปเอง แล้วเราก็จะอ่านได้นานไม่หลับไปเสียก่อน แต่ถ้าง่วงมาก ผมก็ขอแนะว่า หลับเถอะครับ
 
ทำยังไงถึงจะอ่านได้นานๆ
 
อะไรที่นานๆ ถ้าเราไม่ชอบ เราจะอยู่ได้ไม่นาน เวลาดูหนังมันไม่สนุก เราก็รู้สึกเสียดายตางค์ และ รู้สึก หนังยาว อยากจะออกจากโรงเสียให้ได้ โรงเรียนนิมนต์พระมาเทศน์ พระรูปนั้นท่านเทศน์แบบ อ่านใบลาน 15 นาทีแรก เราก็พอรู้เรื่อง แต่หลังจากนั้น เหน็บ-ชา จะเริ่มถามหา แล้วตาเราก็จะปรือตาม
แต่ถ้า คุยโทรศัพท์ หรือ แชท กับ คนที่เราชอบ ทำไมยิ่งนานยิ่งดี   ขณะที่ เวลาเรานัดใคร หรือ รอรับโทรศัพท์ อาการรอ จึงรู้สึกนาน
ไม่ต้องอ้างอิง ทฤษฎีสัมพันธภาพ อะไร เพราะใจเราจดจ่อไงครับ คือ สมาธิ ความแน่วแน่ ที่จะทำสิ่งนั้นๆ และ เมื่อ ความชอบ คือ ความพอใจ มาบวกอีกแรงเราจะรู้สึกไม่นาน  แต่ ไม่ชอบ จะรู้สึก นานนน
มนุษย์มักมีพฤติกรรมตามอย่าง เช่น เราเห็นคนหนึ่งหาว ตัวเราจะรู้สึกง่วง และ หาวตามไปด้วย
 ในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ เวลาที่อยู่บ้านแล้วไม่อยากอ่านหนังสือเรียน วันหยุดผมจะหาโอกาสไปห้องสมุด เพราะบรรยากาศแวดล้อม มันจะดึงดูดใจให้จับหนังสือ เพราะมองไปทางไหน ก็มีแต่ คนอ่าน (รวมทั้งมีสาวน่ารักและไม่น่ารักให้เรามองด้วย)
จึงอยากจะบอกว่า ทำใจให้ชอบ และ เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้างครับ แล้วจะไม่นานเลย
 
 

4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง 3Gและ4Gต่างกันอย่างไร

 3G และ 4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง
 
      เมื่อก่อนเราใช้โทรศัพท์เป็นโทรศัพท์ คือใช้โทรได้อย่างเดียว นั้นเรียกว่ายุค 1G พอยุค 2G โทรศัพท์ก็สามารถถ่ายรูปได้ ส่งข้อความได้ ส่งอีเมล์ได้ แต่ยังติดขัดอยู่ในเรื่องของสัญญาณติดๆ ขัดๆ เวลาเคลื่อนไหว ส่วน 3G จริงๆ แล้วก็คือระบบโทรศัพท์ที่พัฒนาอีกขั้นหนึ่งให้มีการเชื่อมต่อตลอดเวลา ในเรื่องของข้อมูล เฉพาะฉะนั้นในด้านการเชื่อมต่อข้อมูลจะดีกว่า อีกทั้งยังไม่ได้คิดราคาตามเวลาการใช้ แต่จะคิดตามอัตราการโหลดข้อมูล และมีความเร็วในการใช้งานที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นโทรศัพท์ในยุค 3G จึงไม่ใช่แค่เพียงโทรศัพท์อีกต่อไป 3G ทำให้การพูดคุยสามารถเห็นหน้ากันได้ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซอฟท์แวร์ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโทรศัพท์ ก็คืออีกสักหน่อยโทรศัพท์อาจจะส่งสัญญาณให้ควบคุมสิ่งของที่บ้าน เช่น ส่งให้เปิดปิดตู้เย็น เปิดปิดหม้อหุงข้าว เป็นต้น หรือข้อมูลอะไรต่างๆ ที่มีพื้นที่การเก็บข้อมูลมากๆ 3G ก็จะให้ประโยชน์เหล่านี้นั้นเอง อย่างเช่น แผนที่เราก็สามารถดาวน์โหลดได้จากอินเตอร์เนตเข้ามาที่โทรศัพท์โดยผ่านระบบ 3G นี้ได้เลย  
 
 3G
เทคโนโลยีใหม่
 
       คำว่า 3G ในเรื่องของโทรศัพท์ก็คือมาตรฐานการพัฒนาซึ่งแบ่งเป็นยุคๆ ตั้งแต่ยุค 1G ที่โทรศัพท์เป็นแบบเซลลูล่าอันใหญ่ๆ ใช้สัญญาณอนาลอก หรือสัญญาณคลื่นวิทยุซึ่งเกิดในปี 1981 ยุคต่อมาคือ 2G เริ่มในปี 1992 โดยใช้ระบบดิจิตอล คือการนำสัญญาณเสียงมาบีบอัดให้เล็กลงจนเป็นสัญญาณอิเล็กโทรนิค ต่อมาในปี 2001 ก็เริ่มมีการใช้โทรศัพท์ 3G ที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรกที่นำระบบ 3G เข้ามาใช้จนถึงทุกวันนี้ จุดเด่นของ 3G คือรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ส่วนจุดอ่อนของ 3G คือ การเปลี่ยนจาก 2G ปัจจุบันในประเทศไทยเรานั้นน่าจะเรียกว่าระบบ 2.9G คือจากระบบ 2G เป็น 2.5G จนมาเป็น 2.9G เช่น สามารถถ่ายภาพแล้วก็อัฟเดตขึ้น Facebook ได้เลย แต่ก็ยังต้องคอยอยู่ดี แต่ถ้าเป็น 3G แล้วก็จะเร็วขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็เลยถือว่ามันไม่ได้ตอบสนองโจทย์ทั้งหมด เพราะถ้าจะพัฒนาระบบทั้งหมดให้เป็น 3G ต้องใช้งบลงทุนมากมายมหาศาล แต่สิ่งที่ได้มาบางทีอาจจะไม่คุ้มกับการใช้งานจริง ในส่วนของประเทศที่ใช้ 3G มานานแล้วเขามองว่าจะเปลี่ยนเป็นระบบ 4G กันแล้ว 4G เป็นเหมือนการสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกๆ 10 ปี
 
    4G มีลักษณะแตกต่างจาก 3G คือ ในเรื่องของการเชื่อมต่อแบบเคลื่อนไหวไร้รอยต่อ 4G เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบใหม่นี้จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติ การเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว
 
     สำหรับ 4G จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที นอกจากนี้ การพัฒนาต่างๆ ที่ ระบบ 3G รองรับ ระบบ 4G ก็จะรองรับในเวอร์ชั่นที่สูงกว่า อย่างเช่น การใช้งานมัลติมีเดียที่ดีขึ้น การรับส่งข้อมูลในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นกว่า การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นสากลและความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ รูปแบบต่างๆ ได้ ผู้ที่อยู่ในแวดวงการอุตสาหกรรมต่างยังลังเลที่จะคาดการณ์ ทิศทางที่เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้จะเป็นไป แต่ก็คาดว่าการพัฒนาของ ระบบ 4G ได้รวมเอาความสามารถในการค้นหาสัญญาณเครือข่ายได้ทั่วโลกเข้าไว้ ด้วย ระบบ 4G อาจจะเชื่อมต่อโลกทั้งใบและสามารถกระทำได้ในทุกที่ไม่ว่าจะอยู่บนหรือแม้จะอยู่เหนือพื้นผิวของโลกได้อย่างแท้จริง
 
 
4G
 นวัตกรรม 3G และ 4G
 
      3G มาไม่ทันไร 4G ก็ออกมาอีกแล้ว แต่มีเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่เคยเก่าและไม่เคยตกรุ่นเลย อีกทั้งยังเป็นสุดยอดเทคโนโลยี สุดยอดนวัตกรรม จะกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ยังใหม่อยู่เสมอ หรือจะต่อไปในอีกแสนล้านปี ก็รับประกันได้ว่ายังใหม่เสมอ นั่นก็คือ ตัวของเรานี่แหละ ซึ่งประกอบด้วย กายกับใจ นี่คือสุดยอดนวัตกรรมสุดยอดของโลกที่จะหาใดมาเปรียบ ไม่ว่าเทคโนโลยีใดก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรมนั้นต้องอาศัยกายมนุษย์เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องมาเกิดบนโลกได้กายมนุษย์ แล้วบำเพ็ญเพียรจึงจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เทคโนโลยี 3G หรือ 4G นั้นแม้จะมีความเร็วมากมายเพียงใด ก็เป็นเพียงความเร็วในการส่งข้อมูล เช่น ดาวน์โหลดหนังเรื่องหนึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที แล้วเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการนั่งดูหนังเรื่องนั้น 3G หรือ 4G เป็นพียงเทคโนโลยีที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล แต่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงความเร็วในการรับรู้ข้อมูล  เช่น เราโหลดหนังเรื่องหนึ่งใช้เวลา 2 นาที แต่เราต้องใช้เวลาในการดูถึง 2 ชั่วโมง จะทำให้การดูเร็วขึ้นโดยการเพิ่มความเร็วก็ไม่ได้ เดี่ยวตาลาย งงเอา
 
     แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีทางใจแล้วล่ะก็จะข้ามพ้นขีดจำกัดตรงนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นอกาลิโก คำว่าอกาลิโก มีความหมาย 2 นัยคือ นัยแรก หมายถึง ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต้องบอกว่าไร้ขีดจำกัด ยกตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แว๊บเดียวก็สามารถระลึกได้ไม่รู้กี่พันชาติ อีกทั้งการรับส่งข้อมูลและการรับรู้ข้อมูลประสานเป็นเนื้อเดียวกัน 3G หรือ 4G ทำอย่างนี้ได้รึเปล่า อีกนัยหนึ่งคือว่า สามารถรับรู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  ซึ่งด้านนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถทำได้เลย นี่แหละอกาลิโก

3G_4
ไม่มีนวัตกรรมไหนจะมาก้าวพ้นข้าม กายกับใจของเรา
 
     เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ใจของเราเป็นเทคโนโลยีที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน ชนิดที่ว่าไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถเทียบได้เลย มนุษย์จะพัฒนาเทคโนโลยีไปอีกเท่าใดๆ ก็ตาม ไม่มีนวัตกรรมไหนจะมาก้าวพ้นข้าม กายกับใจ ของเราเองได้ การศึกษาเทคโนโลยีทางโลกศึกษาแล้วสักพักก็เชยได้ แต่เทคโนโลยีทางใจ ศึกษาไว้ยังไงก็ไม่เชย ละโลกไปแล้วก็ยังเอาไปใช้ได้อีก ถึงเราจะต้องเรียนเทคโนโลยีทางโลกเพื่อใช้ในการครองชีวิต ก็เรียนไปเถอะ แต่ว่าอย่าลืมเทคโนโลยีทางใจซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งแล้วคุณประโยชน์ต่อตัวเราเองทั้งปัจจุบัน แล้วก็ต่อเนื่องไปข้ามภพ ข้ามชาติ
 
     สุดท้ายนี้ขอฝากคำกลอนไว้สั้นๆ ว่า
 
“โลกภายนอกกว้างไกล ใครๆ รู้  โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
           จะมองโลกภายนอก มองออกไป  จะมองโลกภายในให้มองตน”  
 
VDO รายการทันโลกทันธรรม ตอน เทคโนโลยีใหม่
 

รับชมคลิปวิดีโอเทคโนโลยีใหม่ 3G และ 4G
ชมวิดีโอเทคโนโลยีใหม่ 3G และ 4G  MP3 ธรรมะเทคโนโลยีใหม่ 3G และ 4G   Download ธรรมะเทคโนโลยีใหม่ 3G และ 4G

เคล็ดลับ การเรียนเก่ง

เคล็ดลับ การเรียนเก่ง 
1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ.


เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน
ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ.
เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม
และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ค๊ะ.
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากค๊ะ.


เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ.
แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องค๊ะ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดค๊ะ.

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรค๊ะ.
อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที
และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะค๊ะ.

สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร


5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ค๊ะ.

ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ด ี ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ค๊ะ.
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาค๊ะ.
เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1  เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ  อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ.
เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง  เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า  where do you go .? อะไรเป็นต้น  แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ
ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที  ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ

อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วค๊ะ.
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลค๊ะ.
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ
ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยค๊ะ.
จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา
อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .
สำคัญคือความตั้งใจนะครับ.
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วค๊ะ.
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกค๊ะ.
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยค๊ะ

8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่
คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า
กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก
นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ
ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้
ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ
เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ.
ดังนั้น จากข้อ
7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว  ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง  โดยทำดังต่อไปนี้ค๊ะ.
- ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง  จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ให้เลิกค๊ะ.  ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที  กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตย์จนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะค๊ะ.  ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ   คือกระบวนการสอบแข่งขันค๊ะ.

ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่  ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง  เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม  ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม  เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า  ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน  เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์  ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ  สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่  พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น  แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก  
อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ.
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ค๊ะ.

อ่านหนังสืออย่างไรให้จำแม่น

อ่านหนังสืออย่างไรให้จำแม่น       โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ
1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว

      2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
      3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
      4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
      5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
 6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
      7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
      8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
      ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง          
 ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ